เชื่อกันว่าโรคกรดไหลย้อนกลับ (Gastro-esophageal reflux disease) นั้น เกิดจากการคลายตัวของหูรูด ที่อยู่ส่วนปลายของหลอดอาหารต่อกับกระเพาะอาหาร ทำให้กรดน้ำดี หรือ น้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร จนทำให้เกิดอาการปวดแสบ อักเสบ ทำให้เกิดแผลขึ้นในหลอดอาหาร
ดังนั้นแพทย์แผนปัจจุบันจึงแนะนำให้คนป่วยนอนตะแคงซ้าย เพราะการนอนตะแคงขวา กระเพาะอาหารจะ อยู่เหนือหลอดอาหาร ทำให้มีแรงกดต่อหูรูดหลอดอาหารให้เปิดออกง่ายขึ้น จนเกิดการไหลย้อนกลับ ของกรดน้ำย่อย
อาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยประเภทนี้คือ ความรู้สึกแสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ กลางหน้าอก หลังกินอาหาร ความรู้สึกเปรี้ยว หรือขมในปากและคอ ท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง แน่นหน้าอกซึ่งมีอาการใกล้เคียงกับ โรคหัวใจ
ในกรณีที่เป็นบ่อยๆ กรดน้ำดีที่ไหลย้อนมาถึงบริเวณลำคอ จะทำให้เกิดอาการเจ็บคอเรื้อรัง ไอเรื้อรัง เสียงแหบ กล่องเสียงอักเสบ แต่ถ้าการอักเสบเกิดที่หูรูดส่วนปลายหลอดอาหาร หลอดอาหารอาจจะเกิด พังผืดแล้วตีบ หรีอ เยื่อหุ้มหลอดอาหารส่วนปลายเปลี่ยนไปเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้
แพทย์พบว่าคนอ้วนเกิดภาวะกรดไหลย้อนกลับได้มากกว่าคนผอม เนื่องจากแรงดันในท้องมีมากกว่าปกติ นอกจากนี้ อาหารมัน อาหารแคลอรีสูง น้ำอัดลม เหล้า ไวน์ ชา กาแฟ บุหรี่ อาหารมื้อใหญ่ หอม กระเทียม อาหารที่มีส่วนผสมของมิ้นต์ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หูรูดส่วนปลายของหลอดอาหารคลายตัวได้บ่อยขึ้น ทำให้กรดไหลย้อนกลับได้
แต่ถ้าลองพิจารณาดูด้วยตนเองจะพบว่า โรค GERD นี้เกี่ยวข้องกับตัวแปรหลายอย่างคือ หนึ่ง อาหารที่กินเข้าไป สอง น้ำย่อยหรือกรดน้ำดี สามหูรูดส่วนปลายหลอดอาหาร และสี่ ลมในกระเพาะอาหาร ที่ดันขึ้น
ตัวแปรที่ ๑ และ ๔ สามารถจับคู่กันได้ เพราะอาหารที่กินเข้าไปอาจจะทำให้เกิดลม(แก๊ส) ในกระเพาะอาหาร ปกติแล้ว หอม กระเทียม อาหารที่ผสมมิ้นต์ เช่น สะระแหน่ ผักแพว และที่มีน้ำมันหอมระเหยเช่น ขิง ข่า ตะไคร้ อบเชย โป๊ยกั๊ก พริกไทย จะขับลมทำให้เรอ หรือผายลมทางทวารหนัก อาหารเหล่านี้ไม่น่าจะมี โทษเป็นเหตุให้หูรูดส่วนปลาย คลายตัว แต่อาหารเหล่านี้จะช่วยให้การย่อยอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตัวแปรที่ ๒ น้ำย่อยหรือกรดน้ำดี ปกติตับจะสังเคราะห์จากคอเลสเตอรอล หรือเรียกอีกชื่อว่า lipoprotein ซึ่งได้จาก lipid + protein ตัวแปรอันนี้เป็นสิ่งที่น่าจับตามองเพราะมันเปลี่ยนแปลง กว่า ๓๐ ปีแล้วที่ร่างกาย คนไทยได้ ไขมัน (lipid) จากน้ำมันมะพร้าว กะทิ และน้ำมันหมู ซึ่งมีสัดส่วนของไขมันอิ่มตัวสูง โดย ธรรมชาติ ในขณะที่ปัจจุบันคนไทยร้อยละ ๘๐ได้รับประทานไขมันอิ่มตัวสูงด้วยการเติมไฮโดรเจน (Trans fat)ได้แก่ น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีทุกชนิด และร้อยละ ๒๐ บริโภคไขมันไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งได้จาก น้ำมันพืชบีบเย็น (Cold press) ที่ฝรั่งนิยมใช้ทำน้ำสลัดได้แก่ น้ำมันข้าวโพด น้ำมันคาโนล่า น้ำมันมะกอก- โอลีฟ เป็นต้น อย่างไรก็ตามในคนไทยร้อยละ ๒๐ นี้ส่วนใหญ่จะปรุงอาหารด้วยความร้อนเช่น การทอด การผัดซึ่งจะทำให้แขนในโครงสร้างเคมีอีกข้างหนึ่งของน้ำมันบีบเย็นจับกับธาตุไฮโดรเจนซึ่งมีอยู่ในน้ำหรืออากาศ กลายเป็นไขมันอิ่มตัวสูง (Trans fat) ได้เช่นกัน
ข้าพเจ้ามีเพื่อนชายคนหนึ่ง แกเป็นโรคเก๊าท์เรื้อรังมานาน อาหารที่กินก็พิถีพิถันไม่กินสัตว์ปีก หน่อไม้ ที่มีกรดยูริคสูง แต่แกก็ไม่เคยหายจากโรคนี้ อยู่มาวันหนึ่งแกได้ถามข้าพเจ้าว่ามีสมุนไพรอะไรที่รักษา โรคเก๊าท์ได้ ข้าพเจ้าจึงแนะนำให้เลิกกินน้ำมันพืชทุกชนิด แต่แกก็ยืนยันว่าทุกวันนี้กินแต่น้ำมันมะกอก โอลีฟเท่านั้น ข้าพเจ้าถามแกว่าได้นำน้ำมันไปทอดหรือผัดหรือไม่ แกก็บอกว่าใช่ ถามแกว่าเคยเจ็บคอ คออักเสบหรือไม่ แกก็บอกว่าไม่ค่อยเป็น ข้าพเจ้าจึงบอกแกไปว่าคนอื่นๆ มักจะเจ็บคอ คออักเสบเพราะน้ำมัน พืชมีพิษ แต่การอักเสบของแกจะไปอยู่ที่ข้อจึงทำให้แกเป็นโรคเก๊าท์ไม่หาย เพื่อนคนนี้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ลองงดน้ำมันพืชดู ปรากฎว่าการตรวจเลือดครั้งหลังสุด แพทย์พูดชมว่ากรดยูริคต่ำ ต่ำมากๆ
วิธีการพิสูจน์ว่าน้ำมันชนิดไหนกินไม่ได้ให้สังเกตจาก การล้างจานชามที่เปื้อนน้ำมันชนิดนั้น ถ้าหากต้อง ใช้น้ำยาล้างจานมากในการขจัดคราบไขมันก็ให้สงสัยไว้ก่อน แล้วค่อยพิสูจน์คราบฝังแน่นที่ติดอยู่ตาม กระทะ ผนังเตา ว่าสามารถล้างออกได้ง่ายหรือไม่ ถ้าต้องใช้น้ำส้มสายชู หรือ ส้มมะขามเปียกล้าง หรือน้ำยาพิเศษขจัดคราบก็มั่นใจได้เลยว่า น้ำมันชนิดนั้นกินไม่ได้ เพราะถ้ามันติดแน่นขนาดนี้ใน อุณหภูมิห้องได้ มันก็จะติดในหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ทำให้ตีบตันเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ขณะเดียวกันมันก็สามารถทำให้เส้นเลือดฝอยไตตีบตัน ทำให้เกิดโรคไตชนิดต่างๆ ได้
เมื่อกรดน้ำดี(น้ำย่อย)ผิดปกติ ก็ย่อมทำให้การย่อยอาหารมีมลพิษในกระเพาะอาหารได้ แก๊สที่เกิดจากการ เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ในกระเพาะอาหาร ย่อมมากขึ้นและดันหูรูดปลายหลอดอาหารให้เปิดออกได้ ถ้าถามว่ากรดน้ำดีผิดปกติอย่างไร ข้าพเจ้าเชี่อว่าความเป็นกรดเพิ่มมากขึ้น เพราะอาหารที่กินส่วนใหญ่ มีน้ำมันพืชเป็นองค์ประกอบ(ไขมันคือ fatty acid) โดยปกติแล้วไขมันจะถูกย่อยโดยเอ็นไซม์ในลำไส้เล็กตอนต้น ในขณะที่มันอยู่ในกระเพาะอาหารมันจะเสริมความเป็นกรดให้กับกรดน้ำดีซึ่งจะทำให้กระเพาะอาหาร เป็นแผลได้ เราจึงพบว่าผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารมักชอบกินอาหารทอดเป็นประจำ และผู้ป่วยโรค มะเร็งกระเพาะอาหารก็เช่นกัน
ส่วนตัวแปรที่ ๓ หูรูดคลาย หรือหย่อนนั้นไม่มีใครเห็น เป็นเพียงข้อสันนิษฐานว่ามันต้องเปิด กรดจึงไหล ย้อนกลับได้ แต่ความเห็นของข้าพเจ้ามองว่า ในกระเพาะอาหารนั้นมีความเป็นกรดสูงเกินไป ทำให้เกิด ปฏิกริยาเคมี เป็นฟองฟูขึ้นเพราะแก๊สจนล้นกระเพาะอาหารตอนบน เลยขึ้นมาถึงหลอดอาหารที่คอ ผู้ป่วย จึงได้รสเปรี้ยว และบางทีรสขม จากกรดน้ำดี
แก้โรคนี้ได้ ๒ ทางคือ หนึ่ง แก้ที่ lipid และ สองแก้ที่ protein ซึ่งจะกลายเป็น คอเลสเตอรอลในร่างกายการแก้ที่ง่ายที่สุดคือ หยุดกินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี และน้ำมันพืชบีบเย็นที่นำไปทอด ผัด ส่วนการแก้ที่ protein ที่กินเข้าไปนั้นต้องถือ มังสะวิรัติ ถ้าใครไม่อยากเป็นมังสะวิรัติก็แก้เฉพาะงดกินน้ำมันพืช เพราะปกติแล้วเนื้อสัตว์ที่เรากินเข้าไปจะมีทั้งโปรตีนและไขมันในตัวมันแล้ว ดังนั้นตับก็สามารถสร้าง คอเลสเตอรอลได้ แม้ว่าเนื้อสัตว์จะปนเปื้อนเคมีต่างๆ แต่ก็ยังจำเป็นมากกว่าน้ำมันพืช
นอกจากนี้ให้กินขมิ้นชัน ก่อนอาหาร ๔ มื้อ เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน มื้อไหนไม่ได้กินอาหารก็กินขมิ้นชันได้ ขนาดรับประทานคือ ครั้งละ ๑ ช้อนชาสำหรับแบบผง หรือ ๓ เม็ดๆ ละ ๕๐๐ มก. ขมิ้นชันนี้จะบำรุงน้ำดีให้ปกติ ป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหารถ้าจะให้โรคนี้หายขาดคงต้องทำ"วิเรจนะ" ควบคู่กันไปด้วย วิเรจนะคือการล้างพิษตามแบบแผนไทย และอายุรเวทอินเดีย ครั้งหน้าถ้าท่านมีอาการโรค GERD อีก ควรจะจดเวลาที่รู้สึกและวันข้างขึ้นข้างแรม เอาไว้ศึกษา เพราะโรคกษัยหลายอย่างก็มีลักษณะคล้ายกันกับโรคนี้
ที่มา: สถาบันวิจัยโรคเรื้อรัง
วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ยาแก้โรคมะเร็ง
ขนานที่ ๑ เอาหัวข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑ กำมะถันเหลือง ๑ ตัวยาทั้ง ๓ นี้ เอาหนักอย่างละ ๔ บาทเท่ากัน กะลามะพร้าวแก่ (ผ่าเป็น ๔ ส่วน เอา ๓ ส่วน) ตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้ นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยารับประทานต่างน้ำชาจนน้ำยาจืด มีสรรพคุณแก้โรคมะเร็งได้ผลดีอย่างชะงัด เคยใช้รักษาหายมามากแล้วฯ
ขนานที่ ๒ เอา กระดูกงูเห่า ๑ หัวยาข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑ ทิ้งถ่อน ๑ แก่นมะเกลือ ๑ มะเดื่อปล้อง ๑ ตัวยาทั้ง ๖ อย่างนี้เอาอย่างละเท่าๆ กัน นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควรใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา เวลาก่อนอาหาร วันละ ๓ เวลา มีสรรพคุณแก้โรคมะเร็งทุกอย่าง เป็นยาตัดรากโรคมะเร็งให้หายขาด เคยใช้รักษามามากแล้ว
ขนานที่ ๓ เอาใบต้นหนอนตายอยาก หนัก ๑ บาท เปลือกต้นกุ่ม หนัก ๑ บาท หัวยาข้าวเย็นเหนือ หนัก ๑ บาท หัวยาข้าวเย็นใต้ หนัก ๑ บาท ดินประสิว หนัก ๒ สลึง สารส้ม หนัก ๑ บาท กำมะถัน หนัก ๑ บาท ตัวยาทั้ง ๗ อย่างนี้ นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชาเวลา เช้า-กลางวัน-เย็น วันละ ๓ เวลา ประมาณ ๓๐ วัน มีสรรพคุณแก้โรคมะเร็งในกระดูก ได้ผลดีอย่างชะงัดนัก
ขนานที่ ๔ เอาต้นพลูแก่ๆ (พลูกินกับหมาก) ๑ ใบผลูแก่ๆ ๑ ดอกพลู ๑ รากพลู ตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้ เอาอย่างละเท่าๆ กัน นำมาล้างน้ำให้สะอาด ใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยารับประทานเวลา เช้า-เย็น วันละ ๒ ครั้ง มี สรรพคุณแก้โรคมะเร็ง ได้ผลดีอย่างชะงัดนัก
ขนานที่ ๕ เอาลูกลำโพงกาสลัก (ลูกแก่ๆ ) ๑ ลูกกระเบา (ลูกแก่ๆ เอาเฉพาะเมล็ดใน) ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ ยางไม้ตะเคียน ๑ ตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้เอาอย่างละเท่าๆ กัน นำมาตากแดดให้แห้ง บดเป็นผง หุงด้วยน้ำมันงา บนเตาแกลบ (ใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิง) ใช้ทารักษาแผลโรคมะเร็งผิวหนังภายนอกหรือใช้ทารักษาแผลเชื้อราทุกชนิดมีสรรพคุณชะงัดนัก
ขนานที่ ๖ เอารากต้นเตย ๑ หัวจุกสับปะรด ๑ รากต้มมะเฟือง ๑ หัวยาข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยาเข้าเย็นใต้ ๑ ข้าวเปลือกข้าวเจ้า ๑ ตัวยาทั้ง ๖ อย่างนี้เอาอย่างละเท่าๆ กัน นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณแก้โรคมะเร็ง ซึ่งผู้ป่วยมีอาการท้องอืด รับประทานอาหารไม่ได้ เป็นมาเวลานานแล้ว เมื่อรับประทานยานี้แล้ว จะทำให้หายเร็วขึ้น
ขนานที่ ๗ เอาข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑ กระดูกควายเผือก ๑ กำมะถันเลือง ๑ ขันทองพยาบาท ๑ หัวต้นหนอนตายอยาก ๑ ตัวยาทั้ง ๖ อย่างนี้เอาหนักอย่างละ ๒๐ บาทเท่ากัน เง่าสับประรด หนัก ๑๐ บาท กระดูกม้า หนัก ๔ บาท ต้นพริกขี้หนู ๑ ต้น (เอาทั้งต้นตลอดถึงราก) ผิวไม้ราก (ขูดเอาเฉพาะผิว) ๓ กำมือ ตัวยาทั้ง ๑๐ อย่างนี้นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา เวลาหลังอาหารวันละ ๓ เวลา มีสรรพคุณแก้โรคมะเร็ง แก้โรคแผลกลาย แก้ฝีทุกชนิด แก้โรคไอ แก้โรคเลือดออกจากหลอดลม รักษาแผลในหลอดลม แผลในลำไส้ได้ผลดีอย่างชะงัด
ขนานที่ ๒ เอา กระดูกงูเห่า ๑ หัวยาข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑ ทิ้งถ่อน ๑ แก่นมะเกลือ ๑ มะเดื่อปล้อง ๑ ตัวยาทั้ง ๖ อย่างนี้เอาอย่างละเท่าๆ กัน นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควรใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา เวลาก่อนอาหาร วันละ ๓ เวลา มีสรรพคุณแก้โรคมะเร็งทุกอย่าง เป็นยาตัดรากโรคมะเร็งให้หายขาด เคยใช้รักษามามากแล้ว
ขนานที่ ๓ เอาใบต้นหนอนตายอยาก หนัก ๑ บาท เปลือกต้นกุ่ม หนัก ๑ บาท หัวยาข้าวเย็นเหนือ หนัก ๑ บาท หัวยาข้าวเย็นใต้ หนัก ๑ บาท ดินประสิว หนัก ๒ สลึง สารส้ม หนัก ๑ บาท กำมะถัน หนัก ๑ บาท ตัวยาทั้ง ๗ อย่างนี้ นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชาเวลา เช้า-กลางวัน-เย็น วันละ ๓ เวลา ประมาณ ๓๐ วัน มีสรรพคุณแก้โรคมะเร็งในกระดูก ได้ผลดีอย่างชะงัดนัก
ขนานที่ ๔ เอาต้นพลูแก่ๆ (พลูกินกับหมาก) ๑ ใบผลูแก่ๆ ๑ ดอกพลู ๑ รากพลู ตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้ เอาอย่างละเท่าๆ กัน นำมาล้างน้ำให้สะอาด ใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยารับประทานเวลา เช้า-เย็น วันละ ๒ ครั้ง มี สรรพคุณแก้โรคมะเร็ง ได้ผลดีอย่างชะงัดนัก
ขนานที่ ๕ เอาลูกลำโพงกาสลัก (ลูกแก่ๆ ) ๑ ลูกกระเบา (ลูกแก่ๆ เอาเฉพาะเมล็ดใน) ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ ยางไม้ตะเคียน ๑ ตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้เอาอย่างละเท่าๆ กัน นำมาตากแดดให้แห้ง บดเป็นผง หุงด้วยน้ำมันงา บนเตาแกลบ (ใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิง) ใช้ทารักษาแผลโรคมะเร็งผิวหนังภายนอกหรือใช้ทารักษาแผลเชื้อราทุกชนิดมีสรรพคุณชะงัดนัก
ขนานที่ ๖ เอารากต้นเตย ๑ หัวจุกสับปะรด ๑ รากต้มมะเฟือง ๑ หัวยาข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยาเข้าเย็นใต้ ๑ ข้าวเปลือกข้าวเจ้า ๑ ตัวยาทั้ง ๖ อย่างนี้เอาอย่างละเท่าๆ กัน นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณแก้โรคมะเร็ง ซึ่งผู้ป่วยมีอาการท้องอืด รับประทานอาหารไม่ได้ เป็นมาเวลานานแล้ว เมื่อรับประทานยานี้แล้ว จะทำให้หายเร็วขึ้น
ขนานที่ ๗ เอาข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑ กระดูกควายเผือก ๑ กำมะถันเลือง ๑ ขันทองพยาบาท ๑ หัวต้นหนอนตายอยาก ๑ ตัวยาทั้ง ๖ อย่างนี้เอาหนักอย่างละ ๒๐ บาทเท่ากัน เง่าสับประรด หนัก ๑๐ บาท กระดูกม้า หนัก ๔ บาท ต้นพริกขี้หนู ๑ ต้น (เอาทั้งต้นตลอดถึงราก) ผิวไม้ราก (ขูดเอาเฉพาะผิว) ๓ กำมือ ตัวยาทั้ง ๑๐ อย่างนี้นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา เวลาหลังอาหารวันละ ๓ เวลา มีสรรพคุณแก้โรคมะเร็ง แก้โรคแผลกลาย แก้ฝีทุกชนิด แก้โรคไอ แก้โรคเลือดออกจากหลอดลม รักษาแผลในหลอดลม แผลในลำไส้ได้ผลดีอย่างชะงัด
เรื่องเล่า พระครูวิมลคุณากร (หลวงปู่สุข)
ขึ้นชื่อว่า พระเกจิอาจารย์ แล้ว หลวงปู่สุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านก็เป็นอีกองค์หนึ่งที่ทุกคนมักจะรู้จักท่านเป็นอย่างดี ไม่ว่าทางด้าน อิทธิปาฏิหาริย์ หรือทางด้าน ยารักษาโรค ท่านเป็นพระอาจารย์ที่ทรงสำเร็จวิชา ๘ ประการคือ
๑. วิปัสสนาญาณ
๒. มโนมยิทธิ
๓. อิทธิวิธี
๔. ทิพโสต
๕. เจโตปริยญาณ
๖. ปุพเพนิวาสนุวัติ
๗. ทิพยจักษุ
๘. อาสวักขยญาณ
เมื่อ หลวงปู่ ท่านมี ญาณ ถึงขั้นนี้แล้ว ท่านจะต้องเป็นพระที่แก่กล้าในทาง อภิญญา อย่างแน่นอน
ท่านเกิดเมื่อไหร่ไม่มีใครทราบ ทราบแต่เพียงว่าพ่อชื่อ น่วม แม่ชื่อ ทองดี นามสกุล เกตเวชสุริยา เกิดที่บ้านปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท มีน้องทั้งหมด ๘ คนด้วยกัน ส่วนท่านเป็นคนโต พออายุได้ ๗ ขวบ ท่านได้เรียนหนังสือภาษาไทยและขอมที่วัดนี้เอง
สมัยเด็กท่านซุกซนมาก ชอบโดดน้ำเกาะเรือโยงเล่นเป็นประจำจนกระทั่งแม่ต้องทำโทษ ไม่ให้ขึ้นจากน้ำ
มาวันหนึ่ง ขณะเล่นน้ำ จะเป็นเพราะสนุกหรือน้อยใจไม่ทราบได้ท่านเกาะเรือโยงเข้ากรุงเทพฯ แล้วไม่กลับไปบ้านอีกเลย
หลังจากท่านบวชเป็นพระภิกขุแล้ว จึงเดินทางมาเยี่ยมแม่ที่บ้าน พ่อแม่เห็นต่างก็ดีใจ จากนั้นท่านก็ไม่ทิ้งแม่ไปไหนอีกเลย พอถึงฤดูเข้าพรรษาท่านก็จำพรรษาที่วิหารเก่าแก่ของวัดปากคลองมะขามเฒ่านั่นเอง
ท่านผู้อ่านที่เคารพ พระผู้ทรงอภิญญาณ นั้น ท่านสามารถจะแสดงปาฏิหาริย์ได้หลายอย่าง แต่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น เป็นเครื่องเล่น เป็นเครื่องที่จะดำเนินไปสู่โลกุตรธรรม ตามปัญญาของผู้ที่จะไม่ข้องแวะกับสิ่งเหล่านั้น
หลวงปู่ ท่านมี อิทธิฤทธิ์ มาก ท่านจะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่ ไม่มีใครทราบ นอกเสียจากตัวของท่านเองเท่านั้นที่จะรู้ได้
ครั้งที่เสด็จในกรม คือ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสด็จกลับจากภาคเหนือ ผ่านมาทางจังหวัดชัยนาท พอขบวนล่องมาจวนจะถึงหน้าวัดเครื่องยนต์เกิดขัดข้อง บรรดาทหารเรือช่วยกันชะลอเรือมาเทียบหน้าวัดเพื่อจะแก้ไขเครื่องยนต์
ขณะนั้น เสด็จในกรม หันหน้ามองไปทางท่าน้ำพอดี เห็นเด็กๆ กำลังชุมนุมตัดหัวปลีมากองไว้แล้วนั่งจับกลุ่มมองดูหัวปลีกัน
ครู่ต่อมา มีพระภิกขุชรารูปหนึ่ง รูปร่างสูงโปร่ง กระดูกใหญ่ ผิวเนื้อดำแดง ผิวออกจะคล้ำไป เพราะรอยสักจากลำคอถึงต้นแขน ผอมเล็กน้อย ตามลักษณะของผู้มีอายุ เดินเข้ามานั่งข้างๆ กองหัวปลี แล้วค่อยๆ หยิบหัวปลีขึ้นมาบริกรรมภาวนากำหนดจิตด้วยอิทธิฤทธิ์ทางใจ จากนั้นท่านก็ค่อยๆ ลูบหัวปลีที่ถืออยู่ในมือ วางบนพื้นดิน
หัวปลีก็กลายร่างเป็นกระต่ายสีขาวที่มีชีวิต วิ่งเพ่นพ่านไปหมด
ทางฝ่ายเสด็จในกรมและนายทหารชั้นผู้ใหญ่กำลังยืนดูอยู่ในเรือต่างตื่นเต้นไปตามๆ กัน สร้างความประหลาดมหัศจรรย์ที่ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อนเลย
ด้วยอำนาจจิตที่หลวงปู่ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้น มีหลายขั้นตอนด้วยกัน เช่น เสกข้าวสารให้เป็นกุ้ง เสกใบมะขามให้เป็นตัวต่อ-แตน
ภายหลังที่เสด็จในกรมถวายตัวเป็นศิษย์แล้ว หลวงปู่ท่านยังเสกพลฯ จ๊อดเป็นจระเข้ให้ดูอีกด้วย
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ หลวงปู่ ทำตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จในกรม ท่านต้องดำน้ำลงไปประมาณชั่วโมงเศษฯ ก็โผล่ขึ้นมา ในมือถือเทียนที่มีไฟกำลังลุกขึ้นมาด้วย ส่วนผ้าสบง-จีวร ก็ไม่เปียกน้ำเลย พอขึ้นมาท่านหันไปสั่งเสด็จในกรมว่า ขึ้นไปหาอาตมาบนกุฏิ พูดจบ ท่านก็เดินเข้าห้องบูชาพระ จุดธูปเทียนปักไปไว้บนหิ้ง แล้วออกมานั่งบนอาสนะตรงหน้าเสด็จในกรม ท่านก็ส่งตะกรุดให้พร้อมพูดว่า
เก็บไว้ให้ดี เวลาไปไหนเอาติดตัวไป สิ่งของนี้ อาตมาทำให้เสด็จในกรมพระองค์เดียวเท่านั้น
เสด็จในกรมทรงรับตะกรุด แล้วก้มลงกราบพร้อมกับตรัสว่า
ตะกรุดนี้ เวลาติดตัวไปมีข้อห้ามอย่างไรบ้าง
หลวงปู่ก็ตอบว่า
ไม่มีข้อห้ามอะไร ทองคำเวลาตกอยู่ที่ไหน ก็เป็นทองคำอยู่ที่นั้น
ปรากฏว่า เสด็จในกรม ไม่เคยเอาออกห่างจากพระองค์เลย
ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงหยิบตะกรุดออกมาแล้วรับสั่งว่า เอาเก็บไว้ให้เจ้าตุ่นด้วย (เจ้าตุ่นก็คือ หม่อมเจ้ารังสิยากร พระโอรสของพระองค์นั่นเอง)
หลวงปู่ท่านมีอำนาจจิตแก่กล้าก็เพราะอาศัยหลักธรรม เจริญสมาธิภาวนา ดำเนินจิตเข้าสู่ ภูมิอภิญญา ถือเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพุทธสาวกทั้งหลาย แม้ในสมัยพุทธกาล พระโมคคัลลานเจ้า-พระสาลีบุตรเจ้า ท่านก็มีอิทธิปาฏิหาริย์ มากมาย ถึงคราวที่จะใช้ประโยชน์ ท่านก็สามารถกำหนดได้ตลอดเวลา เมื่อหมดวาระ ท่านก็ดำเนินจิตเข้าภูมิโลกุตรธรรมต่อไป
เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์นั้น ความจริงแล้วเป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้ปฏิบัติเพราะเป็น อภิญญาโลกีย์
แต่ทำให้ถูก ทำให้พอดีกับคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เท่านั้น
อิทธิฤทธิ์ ต่างๆ ไม่ใช่ทางออก ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ มันวุ่นวายเป็นทุกข์
ดังนั้น หลวงปู่ ท่านมีความสามารถถึงขั้นนี้แล้ว ท่านคงจะไม่ยึดเหนี่ยวกับสิ่งนี้เป็นแน่ เพราะนับตั้งแต่เริ่มบวชจนกระทั่งมรณภาพ หลวงปู่ ท่านก็หวังจะหลุดพ้น และสิ่งที่ท่านปรารถนาสูงสุดก็คือ พระนิพพาน นั่นเอง
๑. วิปัสสนาญาณ
๒. มโนมยิทธิ
๓. อิทธิวิธี
๔. ทิพโสต
๕. เจโตปริยญาณ
๖. ปุพเพนิวาสนุวัติ
๗. ทิพยจักษุ
๘. อาสวักขยญาณ
เมื่อ หลวงปู่ ท่านมี ญาณ ถึงขั้นนี้แล้ว ท่านจะต้องเป็นพระที่แก่กล้าในทาง อภิญญา อย่างแน่นอน
ท่านเกิดเมื่อไหร่ไม่มีใครทราบ ทราบแต่เพียงว่าพ่อชื่อ น่วม แม่ชื่อ ทองดี นามสกุล เกตเวชสุริยา เกิดที่บ้านปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท มีน้องทั้งหมด ๘ คนด้วยกัน ส่วนท่านเป็นคนโต พออายุได้ ๗ ขวบ ท่านได้เรียนหนังสือภาษาไทยและขอมที่วัดนี้เอง
สมัยเด็กท่านซุกซนมาก ชอบโดดน้ำเกาะเรือโยงเล่นเป็นประจำจนกระทั่งแม่ต้องทำโทษ ไม่ให้ขึ้นจากน้ำ
มาวันหนึ่ง ขณะเล่นน้ำ จะเป็นเพราะสนุกหรือน้อยใจไม่ทราบได้ท่านเกาะเรือโยงเข้ากรุงเทพฯ แล้วไม่กลับไปบ้านอีกเลย
หลังจากท่านบวชเป็นพระภิกขุแล้ว จึงเดินทางมาเยี่ยมแม่ที่บ้าน พ่อแม่เห็นต่างก็ดีใจ จากนั้นท่านก็ไม่ทิ้งแม่ไปไหนอีกเลย พอถึงฤดูเข้าพรรษาท่านก็จำพรรษาที่วิหารเก่าแก่ของวัดปากคลองมะขามเฒ่านั่นเอง
ท่านผู้อ่านที่เคารพ พระผู้ทรงอภิญญาณ นั้น ท่านสามารถจะแสดงปาฏิหาริย์ได้หลายอย่าง แต่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น เป็นเครื่องเล่น เป็นเครื่องที่จะดำเนินไปสู่โลกุตรธรรม ตามปัญญาของผู้ที่จะไม่ข้องแวะกับสิ่งเหล่านั้น
หลวงปู่ ท่านมี อิทธิฤทธิ์ มาก ท่านจะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่ ไม่มีใครทราบ นอกเสียจากตัวของท่านเองเท่านั้นที่จะรู้ได้
ครั้งที่เสด็จในกรม คือ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสด็จกลับจากภาคเหนือ ผ่านมาทางจังหวัดชัยนาท พอขบวนล่องมาจวนจะถึงหน้าวัดเครื่องยนต์เกิดขัดข้อง บรรดาทหารเรือช่วยกันชะลอเรือมาเทียบหน้าวัดเพื่อจะแก้ไขเครื่องยนต์
ขณะนั้น เสด็จในกรม หันหน้ามองไปทางท่าน้ำพอดี เห็นเด็กๆ กำลังชุมนุมตัดหัวปลีมากองไว้แล้วนั่งจับกลุ่มมองดูหัวปลีกัน
ครู่ต่อมา มีพระภิกขุชรารูปหนึ่ง รูปร่างสูงโปร่ง กระดูกใหญ่ ผิวเนื้อดำแดง ผิวออกจะคล้ำไป เพราะรอยสักจากลำคอถึงต้นแขน ผอมเล็กน้อย ตามลักษณะของผู้มีอายุ เดินเข้ามานั่งข้างๆ กองหัวปลี แล้วค่อยๆ หยิบหัวปลีขึ้นมาบริกรรมภาวนากำหนดจิตด้วยอิทธิฤทธิ์ทางใจ จากนั้นท่านก็ค่อยๆ ลูบหัวปลีที่ถืออยู่ในมือ วางบนพื้นดิน
หัวปลีก็กลายร่างเป็นกระต่ายสีขาวที่มีชีวิต วิ่งเพ่นพ่านไปหมด
ทางฝ่ายเสด็จในกรมและนายทหารชั้นผู้ใหญ่กำลังยืนดูอยู่ในเรือต่างตื่นเต้นไปตามๆ กัน สร้างความประหลาดมหัศจรรย์ที่ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อนเลย
ด้วยอำนาจจิตที่หลวงปู่ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้น มีหลายขั้นตอนด้วยกัน เช่น เสกข้าวสารให้เป็นกุ้ง เสกใบมะขามให้เป็นตัวต่อ-แตน
ภายหลังที่เสด็จในกรมถวายตัวเป็นศิษย์แล้ว หลวงปู่ท่านยังเสกพลฯ จ๊อดเป็นจระเข้ให้ดูอีกด้วย
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ หลวงปู่ ทำตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จในกรม ท่านต้องดำน้ำลงไปประมาณชั่วโมงเศษฯ ก็โผล่ขึ้นมา ในมือถือเทียนที่มีไฟกำลังลุกขึ้นมาด้วย ส่วนผ้าสบง-จีวร ก็ไม่เปียกน้ำเลย พอขึ้นมาท่านหันไปสั่งเสด็จในกรมว่า ขึ้นไปหาอาตมาบนกุฏิ พูดจบ ท่านก็เดินเข้าห้องบูชาพระ จุดธูปเทียนปักไปไว้บนหิ้ง แล้วออกมานั่งบนอาสนะตรงหน้าเสด็จในกรม ท่านก็ส่งตะกรุดให้พร้อมพูดว่า
เก็บไว้ให้ดี เวลาไปไหนเอาติดตัวไป สิ่งของนี้ อาตมาทำให้เสด็จในกรมพระองค์เดียวเท่านั้น
เสด็จในกรมทรงรับตะกรุด แล้วก้มลงกราบพร้อมกับตรัสว่า
ตะกรุดนี้ เวลาติดตัวไปมีข้อห้ามอย่างไรบ้าง
หลวงปู่ก็ตอบว่า
ไม่มีข้อห้ามอะไร ทองคำเวลาตกอยู่ที่ไหน ก็เป็นทองคำอยู่ที่นั้น
ปรากฏว่า เสด็จในกรม ไม่เคยเอาออกห่างจากพระองค์เลย
ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงหยิบตะกรุดออกมาแล้วรับสั่งว่า เอาเก็บไว้ให้เจ้าตุ่นด้วย (เจ้าตุ่นก็คือ หม่อมเจ้ารังสิยากร พระโอรสของพระองค์นั่นเอง)
หลวงปู่ท่านมีอำนาจจิตแก่กล้าก็เพราะอาศัยหลักธรรม เจริญสมาธิภาวนา ดำเนินจิตเข้าสู่ ภูมิอภิญญา ถือเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพุทธสาวกทั้งหลาย แม้ในสมัยพุทธกาล พระโมคคัลลานเจ้า-พระสาลีบุตรเจ้า ท่านก็มีอิทธิปาฏิหาริย์ มากมาย ถึงคราวที่จะใช้ประโยชน์ ท่านก็สามารถกำหนดได้ตลอดเวลา เมื่อหมดวาระ ท่านก็ดำเนินจิตเข้าภูมิโลกุตรธรรมต่อไป
เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์นั้น ความจริงแล้วเป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้ปฏิบัติเพราะเป็น อภิญญาโลกีย์
แต่ทำให้ถูก ทำให้พอดีกับคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เท่านั้น
อิทธิฤทธิ์ ต่างๆ ไม่ใช่ทางออก ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ มันวุ่นวายเป็นทุกข์
ดังนั้น หลวงปู่ ท่านมีความสามารถถึงขั้นนี้แล้ว ท่านคงจะไม่ยึดเหนี่ยวกับสิ่งนี้เป็นแน่ เพราะนับตั้งแต่เริ่มบวชจนกระทั่งมรณภาพ หลวงปู่ ท่านก็หวังจะหลุดพ้น และสิ่งที่ท่านปรารถนาสูงสุดก็คือ พระนิพพาน นั่นเอง
มะรุม ไม้ยืนต้นที่เราคุ้นเคยมานาน กับการดูแลสุขภาพ
มะรุมเป็นไม้ยืนต้นที่โตเร็ว ทนแล้ง ปลูกง่ายในเขตร้อน มีประโยชน์เอนกประสงค์ ทั้งทางด้านอาหาร ยาและอุตสาหกรรม
ชื่อสามัญ horseradish tree, drumstick tree, Ben oil tree Also call "mother's best friend"
ชื่อวิทยาศาตร์ Moringa olifera Lamk.วงศ์ MORINGACEAE
คุณค่าทางอาหารของมะรุม
มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ
๑. วิตามินเอ
๒.บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า วิตามินซี
๓.ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม แคลเซียม
๔.บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด โพแทสเซียม
๕.บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย ใยอาหารและพลังงาน ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุม มีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
ประโยชน์ของมะรุม
1.ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอดได้เป็นอย่างดี
2.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
3.รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4.ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้งยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง
5.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ การรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศแอฟริกา
6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบันหากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7.ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8.รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น หากรับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9.รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้
10.รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ11.เป็นยาปฏิชีวนะ
ประโยชน์ทางยา
ใบ ใช้ถอนพิษไข้ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ แก้แผล ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับปัสสาวะ ป้องกันมะเร็ง ลดความดันโลหิต
ยอดอ่อน ใช้ถอนพิษไข้
ดอก ใช้แก้ไข้หัวลม เป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันมะเร็ง
ฝัก แก้ไข้ ป้องกันมะเร็ง ลดความดันโลหิต
เมล็ด เมล็ดปรุงเป็นยาแก้ไข้ แก้บวม แก้ปวดตามข้อ ป้องกันมะเร็ง
ราก รสเผ็ด หวาน ขม สรรพคุณ แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ รักษาโรคหัวใจ รักษาโรคไขข้อ (rheumatism)
เปลือกลำต้น รสร้อน สรรพคุณขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อน ๆ แก้ลมอัมพาต ป้องกันมะเร็ง คุมกำเนิด เคี้ยวกินช่วยย่อยอาหาร
ยาง (gum)ฆ่าเชื้อไทฟอยด์ ซิฟิลิส (syphilis) แก้ปวดฟัน earache, asthma
คุณค่าทางอาหาร
ใบ ใบสดใช้กินเป็นอาหาร ใบแห้งที่ทำเป็นผงเก็บไว้ได้นานโดยยังมีคุณค่าทางอาหารสูง ใบมะรุมมีวิตามิน เอ สูงกว่าแครอท มีแคลเซียมสูงกว่านม มีเหล็กสูงกว่าผักขม มีวิตามี ซี สูงกว่าส้มและมีโปแตสเซียมสูงกว่ากล้วย
ดอก ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แก้หวัดHelminths ป้องกันมะเร็ง
ฝัก ฝักมะรุม 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 32 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย เส้นใย 1.2 กรัม แคลเซียม 9 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม เหล็ก 1.5 มิลลิกรัม วิตามินเอ 532 IU วิตามินบีหนึ่ง 0.05 มิลลิกรัม ไนอาซิน 0.6 มิลลิกรัม วิตามินซี 262 มิลลิกรัม
ที่มา: นิตยสารหมอชาวบ้านปีที่ 29 ฉบับที่ 338 มิถุนายน 2550
วิกิพีเดีย มะรุม ไม้ยืนต้นมหัศจรรย์ Moringa-Miracle Tree
ชื่อสามัญ horseradish tree, drumstick tree, Ben oil tree Also call "mother's best friend"
ชื่อวิทยาศาตร์ Moringa olifera Lamk.วงศ์ MORINGACEAE
คุณค่าทางอาหารของมะรุม
มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ
๑. วิตามินเอ
๒.บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า วิตามินซี
๓.ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม แคลเซียม
๔.บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด โพแทสเซียม
๕.บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย ใยอาหารและพลังงาน ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุม มีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
ประโยชน์ของมะรุม
1.ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอดได้เป็นอย่างดี
2.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
3.รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4.ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้งยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง
5.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ การรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศแอฟริกา
6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบันหากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7.ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8.รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น หากรับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9.รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้
10.รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ11.เป็นยาปฏิชีวนะ
ประโยชน์ทางยา
ใบ ใช้ถอนพิษไข้ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ แก้แผล ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับปัสสาวะ ป้องกันมะเร็ง ลดความดันโลหิต
ยอดอ่อน ใช้ถอนพิษไข้
ดอก ใช้แก้ไข้หัวลม เป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันมะเร็ง
ฝัก แก้ไข้ ป้องกันมะเร็ง ลดความดันโลหิต
เมล็ด เมล็ดปรุงเป็นยาแก้ไข้ แก้บวม แก้ปวดตามข้อ ป้องกันมะเร็ง
ราก รสเผ็ด หวาน ขม สรรพคุณ แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ รักษาโรคหัวใจ รักษาโรคไขข้อ (rheumatism)
เปลือกลำต้น รสร้อน สรรพคุณขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อน ๆ แก้ลมอัมพาต ป้องกันมะเร็ง คุมกำเนิด เคี้ยวกินช่วยย่อยอาหาร
ยาง (gum)ฆ่าเชื้อไทฟอยด์ ซิฟิลิส (syphilis) แก้ปวดฟัน earache, asthma
คุณค่าทางอาหาร
ใบ ใบสดใช้กินเป็นอาหาร ใบแห้งที่ทำเป็นผงเก็บไว้ได้นานโดยยังมีคุณค่าทางอาหารสูง ใบมะรุมมีวิตามิน เอ สูงกว่าแครอท มีแคลเซียมสูงกว่านม มีเหล็กสูงกว่าผักขม มีวิตามี ซี สูงกว่าส้มและมีโปแตสเซียมสูงกว่ากล้วย
ดอก ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แก้หวัดHelminths ป้องกันมะเร็ง
ฝัก ฝักมะรุม 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 32 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย เส้นใย 1.2 กรัม แคลเซียม 9 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม เหล็ก 1.5 มิลลิกรัม วิตามินเอ 532 IU วิตามินบีหนึ่ง 0.05 มิลลิกรัม ไนอาซิน 0.6 มิลลิกรัม วิตามินซี 262 มิลลิกรัม
ที่มา: นิตยสารหมอชาวบ้านปีที่ 29 ฉบับที่ 338 มิถุนายน 2550
วิกิพีเดีย มะรุม ไม้ยืนต้นมหัศจรรย์ Moringa-Miracle Tree
กาแฟกระชายดำสกัด ชนิดปรุงพิเศษ วิแลต
ในกาแฟวิแลตคอฟฟี่พลัส ๑ ซอง จะมีแคลเซี่ยม ๑๐๐ มิลลิกรัม และแม็กนีเซี่ยม ๕๐ มิลลิกรัม เมื่อแคลเซี่ยมทำงาน ร่วมกับแม็กนีเซี่ยม จะทาให้เกิดประสิทธิภาพ ดังนี้คือ
๑.ช่วยในการทำงานของวิตามิน B1 (ไทอามีน) B2 (ไรโบฟลาวิน) B3 (ไนอาซีนไพริคอ็อกซีน)
กรดเพนโตแทอิก และกรดโฟลิค โคบาลามิน B12 โคลินแอสคอบิค ช่วยในการเผาผลาญคาร์โบฮเดรต
ไขมัน และโปรตีน จึงช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
๒.เพิ่มความแข็งแกร่งให้กระดูก ฟัน เล็บ และเส้นผม
๓.ลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน กระดูกเปราะ และกระดูกอ่อน
๔.ลดการบิดตัวของกล้ามเนื้อ อันเป็นสาเหตุของการเกิดตะคริวที่น่อง
๕.ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจ ให้เป็นปกติ
๖.มีฤทธิ์ต้านเชื้อวัณโรคอย่างแรง (TB) และหอบ หืด อัลไซเมอร์ หลงๆ ลืมๆ
๗.มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ แผล ฝี หนอง ริดสีดวง เอดส์
๘.มีฤทธิ์ช่วยทำให้หลอดเลือดขยายตัว มีฤทธิ์ต้านการเกิดลิ่มเลือด (อันเป็นสาเหตุของ โรคหัวใจ
อันพฤกษ์ อัมพาต)
๙.มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ มีฤทธิ์แก้บิดมูกเลือด แก้แผลในปาก
๑๐.แก้ท้องเดิน แก้ลมป่วงทุกชนิด แก้กลากเกลื่อน แก้เบาหวาน
๑๑.มีฤทธิ์ทำลายมะเร็ง และไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก
๑๒.มีทั้งวิตามิน และเกลือแร่ โครเมี่ยมคีเลต ที่ช่วยลดไขมัน และน้ำตาลในเลือด
ปรึกษาที่ : balloon9301@gmail.com
๑.ช่วยในการทำงานของวิตามิน B1 (ไทอามีน) B2 (ไรโบฟลาวิน) B3 (ไนอาซีนไพริคอ็อกซีน)
กรดเพนโตแทอิก และกรดโฟลิค โคบาลามิน B12 โคลินแอสคอบิค ช่วยในการเผาผลาญคาร์โบฮเดรต
ไขมัน และโปรตีน จึงช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
๒.เพิ่มความแข็งแกร่งให้กระดูก ฟัน เล็บ และเส้นผม
๓.ลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน กระดูกเปราะ และกระดูกอ่อน
๔.ลดการบิดตัวของกล้ามเนื้อ อันเป็นสาเหตุของการเกิดตะคริวที่น่อง
๕.ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจ ให้เป็นปกติ
๖.มีฤทธิ์ต้านเชื้อวัณโรคอย่างแรง (TB) และหอบ หืด อัลไซเมอร์ หลงๆ ลืมๆ
๗.มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ แผล ฝี หนอง ริดสีดวง เอดส์
๘.มีฤทธิ์ช่วยทำให้หลอดเลือดขยายตัว มีฤทธิ์ต้านการเกิดลิ่มเลือด (อันเป็นสาเหตุของ โรคหัวใจ
อันพฤกษ์ อัมพาต)
๙.มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ มีฤทธิ์แก้บิดมูกเลือด แก้แผลในปาก
๑๐.แก้ท้องเดิน แก้ลมป่วงทุกชนิด แก้กลากเกลื่อน แก้เบาหวาน
๑๑.มีฤทธิ์ทำลายมะเร็ง และไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก
๑๒.มีทั้งวิตามิน และเกลือแร่ โครเมี่ยมคีเลต ที่ช่วยลดไขมัน และน้ำตาลในเลือด
ปรึกษาที่ : balloon9301@gmail.com
ประสิทธิ์ภาพของ ฟีแมก และ มาเลก
บำรุงร่างกาย "ในวัยทอง ของ หญิง และชาย" ด้วยสมุนไพรไทยสกัด
๑.ลดความดันโลหิต และคลอเลสเตอรอล
๒.ช่วยขับสารพิษที่สะสม และค้างอยู่ในร่างกาย
๓.ช่วยเพิ่มพลังทำให้กระปรี้กระเปร่า
๔.ช่วยลดไขมันใต้ผิวหนัง
๕.ลดรอยเหี่ยวย่น และทำให้เต่งตึง
๖.ช่วยปรับสภาพสีผิว ลดกระ และฝ้า ตามร่างกายให้เป็นไปตามธรรมชาติ
๗.ช่วยทำให้หลับสนิท
๘.ช่วยฟื้นฟูความจำ ไม่ทำให้หลง ๆ ลืม ๆ เมื่อมีอายุมากขึ้น
๙.ช่วยฟื้นฟูสภาพสีผมให้ดกดำ และช่วยในการงอกของเส้นผม
๑๐.ช่วยเสริมสร้างเซลล์ในร่างกาย และทดแทนเซลล์ที่เสื่อมลง
๑๑.ช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับ และมวลกล้ามเนื้อแข็งแรง (เนื้อแน่นขึ้นไม่หย่อนคล้อย)
๑๒.แก้การปวดท้องประจำเดือน และอาการรอบเดือนมาไม่เป็นปกติ
๑๓.ป้องกันมะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่
๑๔.ป้องกันการเสื่อมของมวลกระดูก ลดอาการของโรคกระดูกพรุน
๑๕.ป้องกันภาวะ แคลเซี่ยมเกาะ ตามผิวกระดูก ทำให้เกิดอาการปวด เช่น ปวดหลัง ปวดต้นคอ ปวดแข้ง
ปวดขา ปวดเข่า และลดการเกิดโรคเก๊าส์ รูมาตอยส์ รูมาติซั่ม ฯ
๑๖.แก้ปัญหาปวดศรีษะเรื้อรัง (ไมแกรน) โรคภูมิแพ้ ไทรอยด์ ต่อมลูกหมากโต อักเสบ ฯ
๑๗.ลดการเกิดลิ่มเลือด ในเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุของโรคหัวใจวายเฉียบพลัน อัมพฤกษ์ อัมพาต
๑๘.ช่วยในการทำงานของ ม้าม ตับ ไต หัวใจ
๑๙.ช่วยรักษาอาการโรคริดสีดวงทวาร
๒๐.ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ (รับรองผล)
๒๑.ลดการตกขาวจนหายเป็นปกติ
๒๒.ลดน้ำตาลในเลือด เบาหวานให้เป็นปกติ
๒๓.แก้ไขอาการน้ำเหลืองเสียอย่างได้ผล
๒๔.ลดอาการมือสั่นทำให้ทุเลา (โรคมือสั่นของคนแก่)
ติดต่อสอบถาม : balloon9301@gmail.com
๑.ลดความดันโลหิต และคลอเลสเตอรอล
๒.ช่วยขับสารพิษที่สะสม และค้างอยู่ในร่างกาย
๓.ช่วยเพิ่มพลังทำให้กระปรี้กระเปร่า
๔.ช่วยลดไขมันใต้ผิวหนัง
๕.ลดรอยเหี่ยวย่น และทำให้เต่งตึง
๖.ช่วยปรับสภาพสีผิว ลดกระ และฝ้า ตามร่างกายให้เป็นไปตามธรรมชาติ
๗.ช่วยทำให้หลับสนิท
๘.ช่วยฟื้นฟูความจำ ไม่ทำให้หลง ๆ ลืม ๆ เมื่อมีอายุมากขึ้น
๙.ช่วยฟื้นฟูสภาพสีผมให้ดกดำ และช่วยในการงอกของเส้นผม
๑๐.ช่วยเสริมสร้างเซลล์ในร่างกาย และทดแทนเซลล์ที่เสื่อมลง
๑๑.ช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับ และมวลกล้ามเนื้อแข็งแรง (เนื้อแน่นขึ้นไม่หย่อนคล้อย)
๑๒.แก้การปวดท้องประจำเดือน และอาการรอบเดือนมาไม่เป็นปกติ
๑๓.ป้องกันมะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่
๑๔.ป้องกันการเสื่อมของมวลกระดูก ลดอาการของโรคกระดูกพรุน
๑๕.ป้องกันภาวะ แคลเซี่ยมเกาะ ตามผิวกระดูก ทำให้เกิดอาการปวด เช่น ปวดหลัง ปวดต้นคอ ปวดแข้ง
ปวดขา ปวดเข่า และลดการเกิดโรคเก๊าส์ รูมาตอยส์ รูมาติซั่ม ฯ
๑๖.แก้ปัญหาปวดศรีษะเรื้อรัง (ไมแกรน) โรคภูมิแพ้ ไทรอยด์ ต่อมลูกหมากโต อักเสบ ฯ
๑๗.ลดการเกิดลิ่มเลือด ในเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุของโรคหัวใจวายเฉียบพลัน อัมพฤกษ์ อัมพาต
๑๘.ช่วยในการทำงานของ ม้าม ตับ ไต หัวใจ
๑๙.ช่วยรักษาอาการโรคริดสีดวงทวาร
๒๐.ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ (รับรองผล)
๒๑.ลดการตกขาวจนหายเป็นปกติ
๒๒.ลดน้ำตาลในเลือด เบาหวานให้เป็นปกติ
๒๓.แก้ไขอาการน้ำเหลืองเสียอย่างได้ผล
๒๔.ลดอาการมือสั่นทำให้ทุเลา (โรคมือสั่นของคนแก่)
ติดต่อสอบถาม : balloon9301@gmail.com
สัญญาณเตือน ๗ ประการที่อาจเป็นมะเร็ง
๑. มีเลือด หรือสิ่งผิดปกติ ออกจากร่างกาย เช่น ตกขาวมากเกินไป
๒. มีก้อนหรือตุ่ม เกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่งของร่างกาย และก้อนั้นโตเร็ว
๓. มีการถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะผิดปกติ หรือเปลี่ยนไปจากนิสัยเดิม
๔. กลืนอาหารลำบาก หรือรับประทานอาหารแล้วไม่ย่อย เบื่ออาหารน้ำหนักลด
๕. มีแผลเรื้อรัง ที่รักษาแล้วไม่ดีขึ้น ภายใน ๒ สัปดาห์
๖. มีการเปลี่ยนแปลงของหูด ไฝ หรือปาน
๗. มีเสียงแหบ หรือ ไอเรื้อรัง
หมายเหตุ มีอาการผิดปกติ อย่างใดอย่างหนึ่ง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
มะเร็งโรคร้าย รักษาหายได้หากพบเริ่มแรก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)