วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เรื่องเล่า พระครูวิมลคุณากร (หลวงปู่สุข)


ขึ้นชื่อว่า พระเกจิอาจารย์ แล้ว หลวงปู่สุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านก็เป็นอีกองค์หนึ่งที่ทุกคนมักจะรู้จักท่านเป็นอย่างดี ไม่ว่าทางด้าน อิทธิปาฏิหาริย์ หรือทางด้าน ยารักษาโรค ท่านเป็นพระอาจารย์ที่ทรงสำเร็จวิชา ๘ ประการคือ
๑. วิปัสสนาญาณ
๒. มโนมยิทธิ
๓. อิทธิวิธี
๔. ทิพโสต
๕. เจโตปริยญาณ
๖. ปุพเพนิวาสนุวัติ
๗. ทิพยจักษุ
๘. อาสวักขยญาณ
เมื่อ หลวงปู่ ท่านมี ญาณ ถึงขั้นนี้แล้ว ท่านจะต้องเป็นพระที่แก่กล้าในทาง อภิญญา อย่างแน่นอน
ท่านเกิดเมื่อไหร่ไม่มีใครทราบ ทราบแต่เพียงว่าพ่อชื่อ น่วม แม่ชื่อ ทองดี นามสกุล เกตเวชสุริยา เกิดที่บ้านปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท มีน้องทั้งหมด ๘ คนด้วยกัน ส่วนท่านเป็นคนโต พออายุได้ ๗ ขวบ ท่านได้เรียนหนังสือภาษาไทยและขอมที่วัดนี้เอง
สมัยเด็กท่านซุกซนมาก ชอบโดดน้ำเกาะเรือโยงเล่นเป็นประจำจนกระทั่งแม่ต้องทำโทษ ไม่ให้ขึ้นจากน้ำ
มาวันหนึ่ง ขณะเล่นน้ำ จะเป็นเพราะสนุกหรือน้อยใจไม่ทราบได้ท่านเกาะเรือโยงเข้ากรุงเทพฯ แล้วไม่กลับไปบ้านอีกเลย
หลังจากท่านบวชเป็นพระภิกขุแล้ว จึงเดินทางมาเยี่ยมแม่ที่บ้าน พ่อแม่เห็นต่างก็ดีใจ จากนั้นท่านก็ไม่ทิ้งแม่ไปไหนอีกเลย พอถึงฤดูเข้าพรรษาท่านก็จำพรรษาที่วิหารเก่าแก่ของวัดปากคลองมะขามเฒ่านั่นเอง
ท่านผู้อ่านที่เคารพ พระผู้ทรงอภิญญาณ นั้น ท่านสามารถจะแสดงปาฏิหาริย์ได้หลายอย่าง แต่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น เป็นเครื่องเล่น เป็นเครื่องที่จะดำเนินไปสู่โลกุตรธรรม ตามปัญญาของผู้ที่จะไม่ข้องแวะกับสิ่งเหล่านั้น
หลวงปู่ ท่านมี อิทธิฤทธิ์ มาก ท่านจะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่ ไม่มีใครทราบ นอกเสียจากตัวของท่านเองเท่านั้นที่จะรู้ได้
ครั้งที่เสด็จในกรม คือ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสด็จกลับจากภาคเหนือ ผ่านมาทางจังหวัดชัยนาท พอขบวนล่องมาจวนจะถึงหน้าวัดเครื่องยนต์เกิดขัดข้อง บรรดาทหารเรือช่วยกันชะลอเรือมาเทียบหน้าวัดเพื่อจะแก้ไขเครื่องยนต์
ขณะนั้น เสด็จในกรม หันหน้ามองไปทางท่าน้ำพอดี เห็นเด็กๆ กำลังชุมนุมตัดหัวปลีมากองไว้แล้วนั่งจับกลุ่มมองดูหัวปลีกัน
ครู่ต่อมา มีพระภิกขุชรารูปหนึ่ง รูปร่างสูงโปร่ง กระดูกใหญ่ ผิวเนื้อดำแดง ผิวออกจะคล้ำไป เพราะรอยสักจากลำคอถึงต้นแขน ผอมเล็กน้อย ตามลักษณะของผู้มีอายุ เดินเข้ามานั่งข้างๆ กองหัวปลี แล้วค่อยๆ หยิบหัวปลีขึ้นมาบริกรรมภาวนากำหนดจิตด้วยอิทธิฤทธิ์ทางใจ จากนั้นท่านก็ค่อยๆ ลูบหัวปลีที่ถืออยู่ในมือ วางบนพื้นดิน
หัวปลีก็กลายร่างเป็นกระต่ายสีขาวที่มีชีวิต วิ่งเพ่นพ่านไปหมด
ทางฝ่ายเสด็จในกรมและนายทหารชั้นผู้ใหญ่กำลังยืนดูอยู่ในเรือต่างตื่นเต้นไปตามๆ กัน สร้างความประหลาดมหัศจรรย์ที่ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อนเลย
ด้วยอำนาจจิตที่หลวงปู่ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้น มีหลายขั้นตอนด้วยกัน เช่น เสกข้าวสารให้เป็นกุ้ง เสกใบมะขามให้เป็นตัวต่อ-แตน
ภายหลังที่เสด็จในกรมถวายตัวเป็นศิษย์แล้ว หลวงปู่ท่านยังเสกพลฯ จ๊อดเป็นจระเข้ให้ดูอีกด้วย
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ หลวงปู่ ทำตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จในกรม ท่านต้องดำน้ำลงไปประมาณชั่วโมงเศษฯ ก็โผล่ขึ้นมา ในมือถือเทียนที่มีไฟกำลังลุกขึ้นมาด้วย ส่วนผ้าสบง-จีวร ก็ไม่เปียกน้ำเลย พอขึ้นมาท่านหันไปสั่งเสด็จในกรมว่า ขึ้นไปหาอาตมาบนกุฏิ พูดจบ ท่านก็เดินเข้าห้องบูชาพระ จุดธูปเทียนปักไปไว้บนหิ้ง แล้วออกมานั่งบนอาสนะตรงหน้าเสด็จในกรม ท่านก็ส่งตะกรุดให้พร้อมพูดว่า
เก็บไว้ให้ดี เวลาไปไหนเอาติดตัวไป สิ่งของนี้ อาตมาทำให้เสด็จในกรมพระองค์เดียวเท่านั้น
เสด็จในกรมทรงรับตะกรุด แล้วก้มลงกราบพร้อมกับตรัสว่า
ตะกรุดนี้ เวลาติดตัวไปมีข้อห้ามอย่างไรบ้าง
หลวงปู่ก็ตอบว่า
ไม่มีข้อห้ามอะไร ทองคำเวลาตกอยู่ที่ไหน ก็เป็นทองคำอยู่ที่นั้น
ปรากฏว่า เสด็จในกรม ไม่เคยเอาออกห่างจากพระองค์เลย
ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงหยิบตะกรุดออกมาแล้วรับสั่งว่า เอาเก็บไว้ให้เจ้าตุ่นด้วย (เจ้าตุ่นก็คือ หม่อมเจ้ารังสิยากร พระโอรสของพระองค์นั่นเอง)
หลวงปู่ท่านมีอำนาจจิตแก่กล้าก็เพราะอาศัยหลักธรรม เจริญสมาธิภาวนา ดำเนินจิตเข้าสู่ ภูมิอภิญญา ถือเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพุทธสาวกทั้งหลาย แม้ในสมัยพุทธกาล พระโมคคัลลานเจ้า-พระสาลีบุตรเจ้า ท่านก็มีอิทธิปาฏิหาริย์ มากมาย ถึงคราวที่จะใช้ประโยชน์ ท่านก็สามารถกำหนดได้ตลอดเวลา เมื่อหมดวาระ ท่านก็ดำเนินจิตเข้าภูมิโลกุตรธรรมต่อไป
เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์นั้น ความจริงแล้วเป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้ปฏิบัติเพราะเป็น อภิญญาโลกีย์
แต่ทำให้ถูก ทำให้พอดีกับคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เท่านั้น
อิทธิฤทธิ์ ต่างๆ ไม่ใช่ทางออก ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ มันวุ่นวายเป็นทุกข์
ดังนั้น หลวงปู่ ท่านมีความสามารถถึงขั้นนี้แล้ว ท่านคงจะไม่ยึดเหนี่ยวกับสิ่งนี้เป็นแน่ เพราะนับตั้งแต่เริ่มบวชจนกระทั่งมรณภาพ หลวงปู่ ท่านก็หวังจะหลุดพ้น และสิ่งที่ท่านปรารถนาสูงสุดก็คือ พระนิพพาน นั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น